ทฤษฎีความเชื่อมโยง (Connectivism) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งกระตุ้นให้นักเรียนระดมความคิด ทฤษฎี และข้อมูลทั่วไปเชิงสร้างสรรค์ โดยในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้และความเชื่อมโยงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรามีโอกาสตัดสินใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ของเรา นอกจากนี้ยังส่งเสริมการทำงานกลุ่มร่วมกันและเกิดการอภิปราย ทำให้เกิดมุมมองที่แตกต่างกันในการตัดสินใจ การแก้ปัญหา และทำความเข้าใจข้อมูล นอกจากนี้ทฤษฎีความเชื่อมโยงยังส่งเสริมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายนอกผ่านโซเชียลมีเดีย เครือข่ายออนไลน์ บล็อก หรือฐานข้อมูล เป็นต้น

แนวคิดของ ทฤษฎีความเชื่อมโยง
การเรียนรู้เป็นมากกว่าการสร้างความรู้ภายในของเราเอง สิ่งที่เราสามารถเข้าถึงได้ในเครือข่ายภายนอกของเรานั้นถือเป็นการเรียนรู้เช่นกัน จากทฤษฎีนี้ มีการใช้คำศัพท์สองคำ ได้แก่ โหนดและการเชื่อมโยง
ด้วยทฤษฎีความเชื่อมโยง นักเรียนจะถูกมองว่าเป็น “โหนด” (Nodes) ในเครือข่าย ซึ่งหมายถึงวัตถุใดๆ ก็ตามที่สามารถเชื่อมต่อกับวัตถุอื่นได้ เช่น หนังสือ หน้าเว็บ บุคคล เป็นต้น การเชื่อมโยงกันขึ้นอยู่กับทฤษฎีที่เราเรียนรู้เมื่อเราทำ “การเชื่อมโยง” (Link) ระหว่าง “โหนด” ต่างๆ ของข้อมูล และเรายังคงสร้างและรักษาการเชื่อมต่อเพื่อสร้างความรู้
ทฤษฎีความเชื่อมโยงสร้างขึ้นจากทฤษฎีที่มีอยู่แล้วเพื่อเสนอว่าเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเรียนรู้
- การเรียนรู้และความรู้ ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นที่หลากหลาย
- การเรียนรู้เกิดจากกระบวนการของความเชื่อมโยง
- การเรียนรู้อาจอยู่ในอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของมนุษย์
- การเรียนรู้สำคัญกว่าความรู้
- การหล่อเลี้ยงและการรักษาความสัมพันธ์ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- ความสามารถในการมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างสาขา แนวคิด และแนวคิดเป็นทักษะหลักที่สำคัญ
- ความรู้ที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เป็นเป้าหมายของการเรียนรู้แบบคอนเนคติวิสต์ทั้งหมด
- การตัดสินใจเป็นกระบวนการเรียนรู้ สิ่งที่เรารู้ในวันนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ในวันพรุ่งนี้ แม้ว่าตอนนี้จะมีคำตอบที่ถูกต้อง แต่พรุ่งนี้อาจจะผิดแล้ว เนื่องจากกระแสข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
นักทฤษฎีการศึกษากลุ่มความเชื่อมโยง ได้แก่

George Siemens (ค.ศ.1970-ปัจจุบัน) – ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวแคนาดา

Stephen Downes (ค.ศ.1959–ปัจจุบัน) – นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวแคนาดา