Parkinson’s law : เก็บเงินไม่อยู่ ได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้หมด

Parkinson's law

Parkinson’s Law คืออะไร?

Parkinson’s Law เป็นหลักการที่เสนอโดยนักจิตวิทยาชาวอังกฤษ ชื่อชิสเตอร์ นอร์ทคอตต์ พาร์กินสัน ในปี ค.ศ. 1955 หลักการนี้กล่าวว่า “งานจะขยายตัวให้เต็มพื้นที่เวลาที่มอบให้ในการทำงาน” กล่าวคือ ถ้าคุณมีเวลากำหนดในการทำงาน 3 ชั่วโมง เช่น คุณจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการทำงานนั้นเท่านั้น ถึงแม้ว่างานนั้นอาจจะเสร็จก็ตาม หากคุณมีเงินให้คุณใช้เท่าใด คุณก็จะใช้เงินนั้นจนหมด โดยไม่สนใจว่าจะเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในอนาคตหรือไม่

ดังนั้น หากใช้หลักการนี้ในบัญชีเงินส่วนบุคคล หมายความว่าถ้าคุณมีรายได้เพียงพอที่จะเป็นพอดีกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณ คุณอาจพบว่าเงินจะใช้หมดแล้ว แม้ว่าคุณจะไม่มีรายรับเพิ่ม ซึ่งผลที่เกิดขึ้นอาจทำให้คุณไม่สามารถออมเงินหรือลงทุนในอนาคตได้เท่าที่ควรจะทำได้

ปัญหาหลักของคนที่มีนิสัยแบบ Parkinson’s Law

ปัญหาหลักของคนที่มีนิสัยแบบ Parkinson’s Law คือการใช้เงินมากเกินไปและไม่สามารถออมเงินหรือลงทุนได้ตามที่ควรจะทำได้ หลักการนี้ทำให้ผู้คนมีนิสัยใช้เงินในระดับเดียวกับรายได้ที่มีอยู่โดยไม่มีการสร้างกำหนดการออมหรือการวางแผนการเงินที่เหมาะสม เมื่อมีเงินเข้ามา ก็จะถูกใช้ไปทันทีและไม่มีการเก็บเงินเพิ่มขึ้น

ผลกระทบของปัญหานี้อาจมีดังนี้

  1. ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน: การไม่สามารถเก็บเงินไว้สำรองฉุกเฉินอาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงในเรื่องการเงิน เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วยหรือเสียงาน อาจต้องพึ่งพาสินเชื่อหรือการกู้ยืมเงินที่อาจมีดอกเบี้ยสูง
  2. ขาดความเสถียรภาพการเงินในอนาคต: การไม่มีการออมหรือลงทุนอาจทำให้ไม่มีทรัพย์สินสะสม หรือไม่มีการวางแผนการเงินในอนาคต เมื่อเกษียณหรือต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องการเงินสำหรับความต้องการในอนาคต เช่น การศึกษาของลูกหลาน การเลี้ยงชีพเมื่อเกษียณ หรือการซื้อบ้านใหม่
  3. เก็บเงินไม่อยู่ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมด: การใช้เงินโดยไม่มีการวางแผนอาจทำให้เกิดนิสัยการบริหารเงินที่ไม่ดี โดยไม่สนใจการเก็บเงินหรือลงทุนให้เติบโต เมื่อไม่มีการตั้งเป้าหมายการเงินหรือการวางแผนเกี่ยวกับเงิน อาจทำให้เกิดการใช้เงินอย่างไม่มีสมดุล เงินหมดตั้งแต่ยังไม่สิ้นเดือน การกดดันใช้เงินที่เกินความจำเป็น หรือการสร้างหนี้ที่ไม่จำเป็น

วิธีแก้ปัญหาการเก็บเงินของคนที่มีนิสัยแบบ Parkinson’s Law

สำหรับการแก้ไขปัญหานี้ สิ่งสำคัญคือการสร้างการวางแผนการเงินที่ดี และมีความรับผิดชอบในการสร้างนิสัยการออมและการลงทุน นอกจากนี้ยังควรพิจารณาการเพิ่มรายได้ ดังนี้

  1. ตั้งงบรายจ่าย: กำหนดเป้าหมายการออมหรือลงทุนในแต่ละเดือนโดยทำการวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบ เช่น กำหนดรายได้ที่จะเก็บเกินไว้ในบัญชีออมหรือลงทุนในอนาคต
  2. สร้างวินัยการออมเงิน: ตั้งค่าการโอนเงินอัตโนมัติจากบัญชีเงินเดือนไปยังบัญชีออมหรือลงทุน อย่างไรก็ตามควรให้เงินที่ถูกโอนออกไปห่างไกลเพื่อลดโอกาสในการใช้จ่าย
  3. วางแผนการเงิน: สร้างแผนการเงินที่ชัดเจนเพื่อรับรู้การใช้จ่ายประจำเดือน รวมถึงการกำหนดวันที่จ่ายเงินในบัญชีเงินเดือน เช่น การจ่ายเงินที่ตรงตามวันเดือนหรือก่อนวันเดือน
  4. ดูความจำเป็น: ก่อนที่จะทำการซื้อสิ่งของหรือบริการใด ๆ ควรพิจารณาว่าจำเป็นจริงๆ และมีคุณค่าต่อคุณหรือไม่ หากไม่จำเป็นอาจพิจารณาการออมเงินแทนการซื้อสิ่งนั้น
  5. ควบคุมระดับการใช้จ่าย: ใช้งบประมาณที่กำหนดไว้เท่าที่เป็นไปได้และหลีกเลี่ยงการใช้เงินที่เกินจำนวนที่วางแผนไว้
  6. หาวิธีเพิ่มรายได้: หากเงินไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย คุณอาจพิจารณาทำงานพิเศษหรือหาทางเพิ่มรายได้เสริมเพื่อให้มีเงินเก็บเพิ่ม
  7. เริ่มต้นเรียนรู้เกี่ยวกับการออมเงินและลงทุน: การเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการออมเงินและลงทุนที่ถูกต้องจะช่วยเสริมสร้างมุมมองในการจัดการเงินให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การแก้ปัญหานี้จะเริ่มจากการวางแผนการเงินที่ดี ๆ และความรับผิดชอบในการสร้างพฤติกรรมการใช้จ่ายที่สอดคล้องกับแผนนั้น

เทคนิคการเพิ่มรายได้ให้มากขึ้นในปัจจุบัน

20 วิธีหาเพิ่มรายได้ในบ้านเราในปัจจุบันมีอยู่หลากหลายวิธี ดังนี้:

  1. งานพาร์ทไทม์: ทำงานพาร์ทไทม์เสริมเพื่อเพิ่มรายได้เสริมในเวลาว่าง
  2. การขายสินค้าออนไลน์: สร้างร้านค้าออนไลน์เพื่อขายสินค้าหรือสินค้าที่คุณสร้างขึ้นเองในโซเชี่ยล
  3. การให้บริการออนไลน์: ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตเช่นการให้คำปรึกษา, การสอน, หรือการทำงานอิสระ
  4. การเป็นช่างภาพหรือวิดีโอกราฟฟิก: รับจ้างถ่ายรูปหรือสร้างวิดีโอสำหรับงานพิธี, กิจกรรม, หรือธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานรับปริญญา งานบวช หรือแม้แต่งานในโอกาสพิเศษอื่นๆ
  5. การเขียนบทความ: เป็นนักเขียนอิสระหรือเขียนบทความสำหรับเว็บไซต์หรือบล็อก
  6. การทำงานเสริมในอุตสาหกรรมบริการ: เช่น ครูพิเศษ, สถาปนิก, จัดเลี้ยงอาหาร, ให้เช่าเต๊นท์รวมถึงเครื่องเสียงตามงาน
  7. การเป็นนักการตลาดออนไลน์: ให้บริการการตลาดออนไลน์แก่ธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขาย
  8. การเป็นแม่บ้านเสริมรายได้: รับจ้างทำอาหารหรือขนมเพื่อฝากขายแก่ร้านค้าต่างๆ หรือให้บริการพิเศษนอกสถานที่
  9. การเป็นผู้สอนออนไลน์: สอนออนไลน์ในด้านที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น การเรียนภาษา, การทำอาหาร, การเล่นเครื่องดนตรี
  10. การทำธุรกิจออนไลน์: เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์เช่นการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ออนไลน์หรือตลาดออนไลน์
  11. การให้บริการดูแลสุขภาพ: เป็นผู้ให้บริการดูแลสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ เช่น การสอนโยคะหรือการให้คำปรึกษาทางสุขภาพ
  12. การเป็นที่ปรึกษาการเงิน: ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน, การลงทุน, หรือการบริหารเงินส่วนบุคคล
  13. การเป็นแม่บ้านช่วยเหลือ: ให้บริการเช่นการทำความสะอาดบ้าน, ซักรีด, หรือการดูแลเด็ก
  14. การให้บริการอาหาร: ทำอาหารสำหรับงานเลี้ยงหรือจัดหาอาหารสำหรับร้านอาหาร
  15. การเป็นนักสื่อสารสังคมออนไลน์: ให้บริการการจัดการโปรไฟล์สื่อสังคม, การตลาดสินค้าหรือบริการผ่านสื่อสังคมออนไลน์
  16. การเป็นผู้นำทีมออนไลน์: สร้างทีมงานและให้คำปรึกษาในด้านที่คุณเชี่ยวชาญผ่านช่องทางออนไลน์
  17. การขายสินค้าแบบ Dropshipping: ขายสินค้าโดยไม่ต้องเก็บสินค้าในคลังสินค้าของคุณ และใช้ผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายในการจัดส่งสินค้า
  18. การเป็นผู้ให้บริการอัพเดตเว็บไซต์: อัพเดตและดูแลเว็บไซต์ของธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องการ
  19. การเป็นแอร์บีดี (Airbnb) โฮสต์: เปิดบ้านหรือที่พักให้เช่าผ่านแอร์บีแอนด์บีเพื่อรับรายได้เสริม
  20. การเป็นผู้สร้างเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์: สร้างเนื้อหาสำหรับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น วิดีโอบนยูทูป, ไลฟ์สดบนเฟสบุ๊ค, Tiktok หรือการโพสต์ในอินสตาแกรม

วิธีหารายได้เสริมเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของวิธีที่คุณสามารถเพิ่มรายได้ในประเทศไทย อย่าลืมพิจารณาความสามารถและความชำนาญของคุณเองเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ จำไว้ว่าการหาเพิ่มรายได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความพยายามของคุณ นอกจากนี้คุณควรพิจารณาความต้องการและความสามารถของตนเองเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับคุณ

โดยสรุป

สรุปกล่าวคือ ปัญหาหลักของคนที่มีนิสัยแบบ Parkinson’s Law คือการใช้เงินมากเกินไปและไม่สามารถออมหรือลงทุนได้ตามที่ควรจะทำ ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้แก่การไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ขาดความเสถียรภาพการเงินในอนาคต และเก็บเงินไม่อยู่ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้หมด สำหรับการแก้ไขปัญหานี้ควรสร้างการวางแผนการเงินที่ดี มีความรับผิดชอบในการออมและการลงทุน พิจารณาการเพิ่มรายได้ และเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารเงินและการลงทุนอย่างถูกต้อง

ติดตามคอนเทนท์อื่นๆ ที่น่าสนใจ ที่นี่