การทำ IF คือ การกำหนดช่วงเวลาอดอาหารแบบมีหลักการและการอาศัยการสังเกตตัวเอง IF (Intermittent Fasting) โดย Intermittent แปลว่า การกำหนดเป็นช่วงๆ ส่วน Fasting แปลว่า การอดอาหาร เมื่อรวมกันจึงหมายความว่า “การอดอาหารในแบบจำกัดช่วงเวลาของวัน” โดยในแต่ละวันจะมีการแบ่งเป็นช่วงเวลา 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงอด (Fasting) และช่วงกิน (Feeding) ซึ่งมีสูตรที่ได้รับความนิยมได้แก่ 16/8 คือ ช่วงอด 16 ชั่วโมง และช่วงกิน 8 ชั่วโมง

ข้อดีของ การทำ IF
การทำ IF ช่วงในเรื่องของการลดน้ำหนักและลดพุงได้ดีขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานและความดัน รวมถึงยังเร่งการหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone: GH) ในร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยในเรื่องการเผาผลาญไขมันของร่างกายได้ดีอีกด้วย เนื่องจากโดยปกติเมื่อเราทานอาหาร ระดับอินซูลิน (Insulin) ในร่างกายจะเพิ่มขึ้น และใช้พลังงานจากอาหาร มากกว่าการดึงไขมันสะสมมาใช้ ในทางกลับกัน เมื่อร่างกายเกิดการอดอาหารที่เหมาะสม ระดับอินซูลินก็จะลดลง และเกิดการดึงไขมันสะสมในร่างกายมาใช้มากขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้ การจัดช่วงเวลารับประทานอาหารให้อยู่ในช่วงเวลาที่กำหนด ยังง่ายต่อการคุมแคลลอรี่ และกิจวัตรที่เร่งรีบ สำหรับวัยทำงานนั่นเอง
หลักการทำงานของ IF
หลักการทำงานของกระบวนการ IF มีด้วยกัน 3 ช่วง ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ดังนี้
1. ช่วงที่กินปกติ (Fed State)
กระบวนการในช่วงนี้จะเริ่มต้นเมื่อคุณเริ่มทานอาหาร และสิ้นสุดภายใน 3-5 ชั่วโมง ซึ่งร่างกายของเราในช่วงที่กินอาหารปกติ อินซูลินก็จะหลั่งออกมาตามปกติ ดังนั้นแม้เราจะกินเสร็จและเริ่มอดอาหารต่อทันทีในช่วงนี้ ร่างกายก็จะยังจำว่านี่คือกระบวนการที่กำลังกินอาหารอยู่นั่นเอง
2. ช่วงหลังการดูดซึมอาหาร (Post Absorptive State)
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการต่อเนื่อง จากขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายยังคงย่อยอาหารมื้อล่าสุด และยังคงใช้พลังงานจากอาหารมื้อนี้อยู่ โดยกระบวนการในขั้นนี้กินเวลาถึง 8-12 ชั่วโมงเลยทีเดียว ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ประเภทอาหาร และปริมาณที่กินเข้าไปนั่นเอง
3. ช่วงอดอาหาร (Fasted State)
กระบวนการนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ชั่วโมงที่ 12 เป็นต้นไป นับจากอาหารมื้อล่าสุด และ “ร่างกายจะเริ่มนำไขมันสะสมออกมาใช้” นั่นเอง ดังนั้นกระบวนการทำ IF จึงนิยมแบ่งช่วงอดอาหารตั้งแต่ 16 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้เกิดการดึงไขมันสะสมในร่างกายมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
สรุป การทำ IF
การเลือกสูตรเวลาในการทำ IF ของแต่ละคน ควรเริ่มต้นจากช่วงเวลาที่ทำได้ง่ายก่อน และจึงค่อยปรับระดับ หรือจะคงไว้ที่ระดับ 16/8 แต่เน้นความสม่ำเสมอ ซึ่งการทำ IF ก็เป็นหนึ่งในวิธีการลดน้ำหนักวิธีนึง ที่ยังต้องอาศัยระเบียบวินัยในตนเองเช่นเดียวกับวิธีลดน้ำหนักวิธีอื่นๆ ดังนั้น วิธีที่จะลดน้ำหนักให้ได้ประสิทธิภาพในแต่ละคน ก็ควรคำนึงถึงความสะดวกและเหมาะสมของตนเองเป็นหลักนั่นเอง